สอบ "ยูสูฟู" รับ อยู่ถ่ายรูปบึมศาลพระพรหม แชร์ทีมงานอย่างใจเย็น!!!

ตำรวจชุดคลี่คลายคดีบึมสะท้านกรุง วางกำลังเกาะติดทุก เบาะแสเพื่อไล่ล่าคนร้าย ผบ.ตร.เตรียมประชุมขันนอตด่าน ตม.ทั่วประเทศ เน้นใหม่หมดเรื่องก...


ตำรวจชุดคลี่คลายคดีบึมสะท้านกรุง วางกำลังเกาะติดทุก เบาะแสเพื่อไล่ล่าคนร้าย ผบ.ตร.เตรียมประชุมขันนอตด่าน ตม.ทั่วประเทศ เน้นใหม่หมดเรื่องการคัดกรองและหนังสือเดินทาง หลังพบกลุ่มคนร้ายใช้พาสปอร์ตปลอมไปซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์ เผย 1 ในผู้ต้องหารับหลังบึมสำเร็จยังใจเย็นถ่ายภาพแชร์ให้ทีมงานดู ส่วนระเบิดลูกที่หย่อนทิ้งท่าเรือสาทรเป็นลูกสำรอง หากปฏิบัติการระเบิดลูกแรกผิดพลาด เมื่อสำเร็จจึงทำลายทิ้งโดยตั้งเวลาจุดระเบิด ขณะที่พนักงานสอบสวนยังลังเลว่าหมายจับออกทันภายในวันที่ 7 ก.ย.หรือไม่

ยังต้องติดตามกันต่อ จากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดสะท้านกรุง ที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร ใต้สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน หลังเกิดเหตุหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินสถานการณ์ทั้งสองเหตุเชื่อมโยงกัน มีชนวนเหตุพัวพันกลุ่มชาติพันธุ์ที่ทางการไทยเคยผลักดันออกนอกประเทศ ด้านการคลี่คลายคดีตำรวจอยู่ระหว่างทยอยออกหมายจับผู้ก่อเหตุและขยายผลไปถึงผู้ร่วมขบวนการรายอื่น โดยคาดว่าจะมีมากกว่า 10 ราย

วางกำลังเกาะติดทุกเบาะแส
ความคืบหน้าวันที่ 6 ก.ย. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และโฆษก ตร. กล่าวว่า พนักงานสอบสวนเตรียมออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องคดีลอบวางระเบิดเพิ่มเติม พร้อมจัดกำลังเข้าปฏิบัติการพิเศษหลายพื้นที่ต้องสงสัยจะเกี่ยวข้องกับคดีแต่เปิดเผยรายละเอียดไม่ได้ อาจทำให้ผู้ต้องสงสัยหลบหนี ขณะนี้คดีคืบหน้าไปมาก ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมและถูกออกหมายจับมีส่วนเกี่ยวข้องจัดหาระเบิด ช่วยเหลือสนับสนุนและพาหลบหนี ขอเวลาให้ตำรวจทำงานเกาะติดทุกเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายนี้ทั้งหมด

ขันนอตด่าน ตม.ทั่วประเทศ
พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวต่ออีกว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.มีคำสั่งเรียกประชุม ผกก.ด่าน ตม. ทุกด่านทั่วประเทศเข้ามาพูดคุย รับฟังปัญหาและนโยบายเชิงปฏิบัติ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนที่ผ่านมา ในเวลา 13.00 น. วันที่ 7 ก.ย. หลังรัฐบาลมีนโยบายเข้มงวดกับกลุ่มชาวโรฮีนจาและชาวอุยกูร์ ทำให้มีผู้สูญเสียผลประโยชน์ออกมาตอบโต้ก่อเหตุรุนแรง โดยเฉพาะเหตุลอบวางระเบิดครั้งนี้ หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ปล่อยปละละเลยมากขนาดนี้คงไม่เกิดปัญหา ต้องแก้ไขปัญหาเรื่องด่าน ตม.และการปลอมแปลงหนังสือเดินทาง ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรีบแก้ไขเร่งด่วน

ให้ผู้ต้องหาชี้ภาพก่อนออกหมาย
รายงานข่าวแจ้งว่าคณะทำงานกฎหมายส่วนรักษาความสงบ คสช. ประสานพนักงานสอบสวน บช.น. เพื่อส่งมอบตัวนายมิราลลี ยูสูฟู อายุ 26 ปี ให้พนักงานสอบสวนในวันที่ 7 ก.ย. ที่ บช.น. เวลา 15.00 น. ส่วนการขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมนั้น จะเป็นการออกหมายจับตามภาพสเกตช์ ตามคำให้การของนายบิลา มูฮัมหมัด หรือนายอาเดม การาดัค อายุ 29 ปี อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่ม รวมทั้งรอให้ผู้ต้องหารายนี้ชี้ยืนยันภาพสเกตช์กับพนักงานสอบสวนอีกครั้ง

ใช้พาสปอร์ตเก๊ซื้อซิมโทรศัพท์
แหล่งข่าวเดิมยังให้ข้อมูลเพิ่มว่า จากการสืบสวนพบก่อนเกิดเหตุกลุ่มผู้ก่อเหตุนำพาสปอร์ตปลอม 5 เล่มไปขอซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์ 7 หมายเลขในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านบางกะปิ โดยใน พาสปอร์ตมีรูปถ่ายสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุ 3 เล่ม สอบสวนเจ้าของร้านค้าที่ขายซิมการ์ดโทรศัพท์อ้างว่าจำใบหน้ากลุ่มคนร้ายไม่ได้ เพราะมาซื้อตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งกล้องวงจรปิดบริเวณโดยรอบร้านค้าไม่สามารถบันทึกภาพได้ เนื่องจากมีระยะเวลาในการเก็บบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดได้เพียง 7 วัน

ใจเย็นแชร์รูปหลังบึมให้ทีมงาน
จากการสอบปากคำนายมิราลลี ยูสูฟู ฝ่ายความมั่นคงทราบข้อมูลว่าในวันเกิดเหตุระเบิดศาลท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์ ผู้ต้องหารายนี้ถ่ายภาพเหตุการณ์ระเบิดไว้ด้วยก่อนขึ้นรถแท็กซี่หลบหนี ส่วนภาพถ่ายในกล้องรวมทั้งตัวกล้องได้นำให้เพื่อนร่วมขบวนการที่หลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ทั้งนี้หน่วยงานความมั่นคงสามารถรวบรวมข้อมูลการส่งต่อภาพดังกล่าวให้กับผู้ร่วมขบวนการไว้ได้ ซึ่ง 1 ในนั้นอาจเป็นชายสวมเสื้อสีฟ้าที่ถูกหมายจับตามภาพถ่ายขณะนำระเบิดลูกที่สองที่คาดว่าเป็นระเบิดสำรอง หย่อนทิ้งไว้ที่ท่าเรือสาทรเพื่อทำลายโดยการตั้งเวลาจุดระเบิดหลังวางระเบิดลูกแรกสำเร็จ ในเวลาห่างกันไม่ถึง 1 ชม. คาดว่ากลุ่มคนร้ายเตรียมระเบิดลูกที่สองสำรองไว้ก่อเหตุหากเกิดกรณีปฏิบัติการวางระเบิดลูกแรกไม่สำเร็จ ทั้งนี้ชุดพนักงานสอบสวนเตรียมสอบปากคำนายมิราลลีในประเด็นนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง

เผย นทท.เชื่อมั่นความปลอดภัย
ด้าน พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช.กล่าวผ่านรายการโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย รายงานความคืบหน้าสถานการณ์เหตุระเบิดว่า ขณะนี้ชาวไทยและชาวต่างชาติมีความเชื่อมั่นการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ด้านการรักษาความปลอดภัยมากขึ้น ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการในหลายมิติ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ มีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อประสานงาน ให้ข้อมูลข่าวสารรายงานสถานการณ์ล่าสุดแก่สถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุล ใหญ่ของไทยทั่วโลก พร้อมจัดตั้งสายด่วน 24 ชม. ให้ข้อมูลและตอบคำถามแก่สาธารณชน โดยเมื่อวันที่ 28 ส.ค. ปลัดกระทรวงการต่างประเทศสรุปสถานการณ์ให้กับองค์การต่างประเทศ ร่วมทั้งสื่อมวลชน ทั้งในและต่างประเทศ กว่า 200 คน ยืนยันว่าสถานการณ์ทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลไทย

น่ายินดีไม่มีประกาศห้ามเที่ยวไทย
นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกประเทศได้ประณามการใช้ความรุนแรงดังกล่าวและพร้อมให้ความร่วมมือกับทางการไทยตามที่ร้องขอ เป็นที่น่ายินดีที่ทุกประเทศไม่มีการออกประกาศห้ามประชาชนเดินทางเข้ามาประเทศไทย ทั้งยังประกาศเชิญชวนให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยอีกด้วย ถือว่าเป็นความโชคดีของประเทศที่ได้รับความเชื่อมั่นระบบรักษาความปลอดภัยจากนานาชาติเป็นอย่างดี ขอความร่วมมือประชาชนติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการเท่านั้น

“บิ๊กต๊อก” เร่งตรวจสอบเส้นทางเงิน
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าคดีนี้ว่าสั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เร่งตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ก่อเหตุ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่แน่นอน ทั้งนี้ผู้ก่อเหตุได้ประโยชน์จากการใช้ช่องทางการเงินเพื่อก่อเหตุครั้งนี้มากพอควร แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนความคืบหน้าของคดีขอให้เป็นเรื่องของนายกฯ และตำรวจแถลง เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากต่างคนต่างพูดอาจเกิดความเสียหาย

บก.น.3 ปูพรมตรวจค้นเพิ่ม
วันเดียวกัน พ.ต.อ.วัฒนา ยี่จีน รอง ผบก.น.3 รรท.ผกก.สน.มีนบุรี สนธิกำลังตำรวจทหารกว่า 60 นาย เข้าตรวจค้นอพาร์ตเมนต์ ห้องเช่าในย่านถนนนิมิตรใหม่ เพื่อติดตามวัตถุต้องสงสัยที่อาจถูกซุกซ่อนไว้เพิ่มเติม ตามคำสั่งของ ผบช.น. ที่กำชับมาตรการตรวจเข้มแหล่งพักของชาวต่างชาติ ผลตรวจค้นไม่พบวัตถุต้องสงสัย ทั้งยังประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนช่วยกันเฝ้าระวังสิ่งผิดปกติสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ตลอด 24 ชม. ส่วนการส่งตัวนายมิราลลี ยูสูฟู ผู้ต้องสงสัยในคดีระเบิด ถูกจับตัวที่ชายแดนด้าน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 1 ก.ย. ฝ่ายความมั่นคงประสานเบื้องต้นว่าอาจนำมาควบคุมไว้ที่ สน.มีนบุรีในวันที่ 7 ก.ย. ต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง

พงส.ไม่มั่นใจจะออกหมายทัน
พ.ต.อ.สุศักดิ์ ปรักมะกุล รอง ผบก.น.3 รรท.ผกก.สน.หนองจอก เผยกรณีการเตรียมออกหมายจับผู้ต้องหารายที่ 10 ในคดีวางระเบิด ตามภาพสเกตช์ ว่ายังไม่ยืนยันว่าจะสามารถออกหมายจับได้ทันภายในวันที่ 7 ก.ย.หรือไม่ เพราะจนถึงขณะนี้พนักงานสอบสวนยังไม่ได้สเกตช์ภาพผู้ต้องหารายนี้ ต้องรอให้ฝ่ายความมั่นคงส่งตัวนายมิราลลี ยูสูฟู มาให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำก่อน จากนั้นจึงนำคำให้การที่เกี่ยวข้องกับรูปพรรณสัณฐาน ตำหนิ ของผู้ต้องหามาสเกตช์ภาพและให้เจ้าตัวชี้ยืนยันอีกครั้ง แล้วจึงจะนำไปของศาลจังหวัดมีนบุรีออกหมายจับตามขั้นตอน

เผย “ไมซาเลาะห์” ยังล่องหน
มีรายงานว่า การติดตามตัว น.ส.วรรณา สวนสัน หรือไมซาเลาะห์ ชาว จ.พังงา 1 ในผู้ต้องหาที่มีชื่อเป็นผู้เปิดห้องพักภายในหอพักไมมูณา การ์เด้นท์โฮม ซอยราษฎร์อุทิศ 25/8 เขตมีนบุรี ให้กลุ่มผู้ก่อเหตุเข้าพัก ทั้งยังพบสารตั้งต้นระเบิดอยู่ภายในห้อง โดยญาติระบุ น.ส.วรรณาอยู่ที่ประเทศตุรกีนั้น ทางสถานทูตไทยประจำประเทศตุรกี ประสานมาว่ายังไม่ได้รับการติดต่อเพื่อขอเข้ามอบตัวแต่อย่างใด จากที่ก่อนหน้าเจ้าตัวเรียกร้องให้ทางการไทยช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับประเทศเพื่อมายืนยันความบริสุทธิ์ใจ

ผบก.ป.ปฏิเสธจับมือบึม
เย็นวันเดียวกัน พล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี ผบก.ป.กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวว่าทางตำรวจชุดปฏิบัติการ สามารถจับชายเสื้อเหลือง คดีระเบิดราชประสงค์ได้ว่าจนถึงขณะนี้ตำรวจกองปราบฯ ยังไม่ได้จับใครในคดีระเบิดราชประสงค์เพิ่มเติม ยืนยันว่ายังไม่มีการจับกุมแต่อย่างไร ถ้ามีการจับกุมต้องมีรายงานมาให้ทราบอยู่แล้ว สอดคล้องกับนายตำรวจในกองปราบฯ ที่ต่างยืนยันว่ายังไม่มีการจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มแน่นอน


ที่มา thairath.co.th
ที่มา:http://www.bigza.com/news-178234

You Might Also Like

0 comments

Flickr Images

Close
Advertiser
loading...